วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สุพรรณหงส์บนกูเกิล

สุพรรณหงส์

 

Google ได้เริ่มจัดการประกวด Doodle 4 Google ครั้งแรกในเมืองไทยเมื่อเดือนมราคม 2553 โดยการจัดประกวดนี้ได้เปิดโอกาสให้เยาวชนชาวไทยทั่วประเทศร่วมแสดงจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ภายใต้หัวข้อ "เมืองไทยของฉัน"

ภาพที่ส่งเข้าประกวดนั้นเกินความคาดหมายของเรามาก ทั้งในเรื่องของจำนวนซึ่งมีมากถึง 46,000 ดูเดิล จากกว่า 11,000 โรงเรียนทั่วประเทศ รวมไปถึงความสามารถทางด้านศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์ของเด็กไทย 

คณะกรรมการของเราได้ใช้เวลาอยู่หลายวันในการพิจารณาคัดเลือกให้เหลือ ผู้เข้ารอบ 40 คนสุดท้ายใน 4 กลุ่มอายุ หลังจากนั้นเราได้เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วประเทศร่วมโหวตภาพดูเดิลที่ชื่นชอบ ที่สุดในแต่ละกลุ่ม และสุดท้าย ไมเคิล โลเปซ ดูเดิลอาวุโสของกูเกิล ได้ตัดสินคัดเลือกผู้ชนะเลิศระดับประเทศจากผู้ที่ได้คะแนนโหวตสูงสุดในแต่ละ กลุ่มอายุ 

โดยผู้ชนะเลิศระดับประเทศ จะมีดูเดิลที่เป็นผลงานตนเอง ไปปรากฏบนหน้าเว็บกูเกิลประเทศไทย เป็นเวลา 24 ชม. เพื่อให้ผู้ใช้กูเกิลในไทยหลายล้านคนได้ร่วมชื่นชม ในวันที่ 12 สิงหาคม 2553 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ หรือวันแม่แห่งชาติ รวมถึงทริปไปทัศนศึกษาพร้อมกับผู้ปกครองและครูที่ปรึกษาที่ Google สำนักงานใหญ่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมกับได้พบปะทีมดูเดิลของกูเกิลแบบใกล้ชิด 

และแล้ววันนี้ก็เป็นวันที่ 12 สิงหาคม 2553 ภาพของน้อง เทิดธันวา คะนะมะ โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ก็ปรากฏให้พี่น้องชาวไทยได้เห็นกัน สมกับการรอคอย วันนี้เลยขอแสดงความยินดีกับน้องเทิดธันวาด้วยครับ


วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เงินทุนสำรองระหว่างประเทศสะท้อนบทบาทธนาคารแห่งประเทศไทยยังไงเนี่ย

ช่วงนี้ไม่ต้องพูดถึงค่าเงินที่แข็งค่าอย่างต่ำเนื่อง ที่มาจากแรงซื้อหุ้นของต่างชาติหรือจากปัจจัยอื่นๆ ที่ผมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ งบของไตรมาส 2 ของบริษัทที่เป็นผู้นำเข้าวัตถุดิบเพื่อมาผลิดสินค้า คงออกมาสวยงามกระตุ้นราคาของหุ้นให้วิ่งได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร แต่กลับกันบริษัทส่งออกล่ะ จะเป็นยังไง ก็ต้องไปคิดกันเอาเอง

มาดูฝั่งของแบงค์ชาติที่พยายามแทรกแซงค่าเงินอย่างต่ำเนื่อง สังเกตุจากปริมาณทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มอย่างต่ำเนื่อง งานนี้เงินภาษีของเรา จะหมดไปอีกเท่าไหร่ ก็แซกแทรงกันเข้าไป แล้วเมื่อไหร่ บริษัทผู้ส่งออกของเราจะได้รับรู้ความกดดัน จากค่าเงินที่แข็งค่าบ้างเนี่ย จะได้มีการปรับปรุงคุณภาพในการผลิตในด้านต่างๆ เพื่อที่จะมีความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งต่างชาติได้ เพื่อความเจริญอย่างยั่งยืน

พูดถึง foreign exchange reserves แล้วก็ลองหา Top Hit ติด Chart ไปดูกันเล่นๆ พี่ไทยเราอยู่อับดับ 11 มีเงินสำรองมากกว่าอเมริกาเสียอีก ก็ว่ากันไป



วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เจ้าแห่งเงินตรา

ช่วงนี้ศึกษา fund flow อย่างหนัก พูดถึงการเรื่อง การเคลื่อนย้ายเงินและการเกร็งกำไรค่าเงินนั้น ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก จอร์จ โซรอส ว่าไปแล้วโซรอส ก็ทำผลงานได้น่าประทับใจ ด้วยการครองตำแหน่งนักเกร็งกำไรค่าเงิน ที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดจนมาถึงปัจจุบันและก็ยังหาคนมาล้มเค้าไม่ได้


การหาเงินของโซรอสนั้น ครั้งนึงเค้าถึงกับพูดว่า "เค้าหาเงินง่ายกว่า ใช้เงินเยอะ" การที่เค้าพูดแบบนั้น ก็เพราะว่า ส่วนมากแล้วโซรอส นั้นชอบที่จะตั้งมูลนิธิและแจกทุนการศึกษา เลยที่จะต้องมาคอยคิดว่าจะแจกทุนให้ใครดี

แต่วิธีการหาเงินของโซรอส นั้นก็ค่อนข้างจะมีด้านมืดอยู่มากทีเดียว ด้วยการเกร็งกำไรค่าเงินโดยทั่วไปแล้วก็ต้องสู้กับ รัฐบาลของประเทศใดไม่ก็ประเทศหนึ่ง ที่จะพยายามปกป้องค่าเงินของตัวเอง อย่างเช่นในปี 1992 ที่โซรอสได้กำไรจากการชนะการเกร็งกำไรค่าเงินปอนด์อย่างมหาศาล จนถึงขนาดมีคนเปรียบไว้ว่า บุคคลผู้ซึ่งได้กำไรจากการเกร็งกำไรจากคนอังกฤษไปคนละ 12.5 ปอนด์



..และก็อีกหลายๆ ครั้งที่โซรอสได้กำไรจากการเกร็งกำไรค่าเงินรวมถึงค่าเงินไทยด้วย

มีข้อสังเกตุอย่างนึงคือ นักลงทุนไม่ว่าจะแนวไหน มักจะทำกำไรจากการลงทุนในแบบน้อยครั้ง แต่ครั้งละมากๆ จะว่าไปที่ผ่านมานั้น ผมก็มักออกไปแนวซื้อบ่อยๆ ได้น้อยๆ ซะด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรที่จะหวุดหวิดจากการขาดทุน

สุดท้ายวิธีการที่โซรอสใช้นั้น ผมว่าคนธรรมอย่างเราๆ คงไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการหรือกำลังเงิน และน้อยคนนักที่จะได้กำไรจากการเกร็งกำไรค่าเงิน ซึ่งก็ต้องเป็นอัจฉริยะในระดับไม่ธรรมดา

ก็ผมคนนึงแหละ(ไม่ใช่อัจฉริยะนะครับ) ที่ไม่สามารถที่จะเลียนแบบได้และก็ไม่ค่อยอยากเลียนแบบด้วย อย่างคนธรรมดา ปัญญาต่ำแบบผมก็คงต้องเน้นอะไรที่ เรียบง่าย ใช้ศิลปะมากกว่าวิทยาศาสตร์หน่อย ที่พอจะทำให้การลงทุนสัมฤทธิ์ผลได้บ้าง แต่ของแบบนี้ต้องดูกันยาวๆ ครับ แบบว่าเน้นแต่ความความอึดและพลังของการทบต้น อย่างว่าแหละครับ "เวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเราในการลงทุน"

ตบท้ายด้วยค่าเงิน USD/THB 5 days และ 1 month

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จับตา Fund flow จากการเคลื่ยนไหวของค่าเงินบาท

หลังจากเฝ้าสังเกตุ SET มาหลายวัน ด้วยความหวาดผวาที่ก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มระแวงว่าวันไหน SET จะอ่อนตัวลงไป พอเกิดความกลัว คนเราก็ต้องหาที่ยึดเหนี่ยวไว้ซักอย่างสองอย่าง

สำหรับหุ้นไทยคง ปฏิเสธไม่ได้ว่า แรงขับเคลื่อนนั้นมาจากนักลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะต่างชาติหัวทอง หัวแดง หัวดำ หรือจะหัวอะไรก็ช่าง ก็นำเราไปสู่วัฏจักรขึ้นสุดลงสุดได้




รูปที่ผมจะนำเสนอก็ต้องออกตัว ไว้ก่อนว่า แค่เป็นการสังเกตุการณ์เท่านั้น ท่านต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนที่เก็บมันไปให้รกสมองของท่าน

บางท่านอาจจะดูรูปแล้วงง ต้องอธิบายนิดนึงว่า กราฟบนนั้นเป็นค่าเงินดอลล่าเทีบบเงินบาท ส่วนกราฟข้างล่างนั้นเป็นกราฟ SET เพื่อให้ง่ายขึ้นผมได้กลับหัวกลับหางกราฟค่าเงิน ไว้ข้างล่างอีกรูปนึงครับ








วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

บันทึก การลงทุนที่ผิดพลาดของครึ่งปีแรก 2553

6 เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก ตั้งแต่ได้มาพบรักกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ก็ทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้
นเยอะ ไม่ต้องการคอยนั่งเฝ้าหน้าจอ ไม่ต้องคอยตื่นเต้นเวลาเห็นราคา
หุ้นแกว่งไปแกว่งมา แล้วที่สำคัญเวลาวางแผนอะไ
รไว้แล้วมันทำได้ตามแผนนี่มันสะใจจริงๆ

หลังจากได้นำแนวความคิดเรื่องการ ลงทุนแบบเน้นคุณค่าของหลาย สำนักมาลองใช้ แล้วพยายามปรับให้เข้ากับตัวเอง ก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะถนัดแบบไหน แต่ก็ตั้งใจว่าอย่างน้อยก็น่าจะได้ผลตอบแทนแบบคนมักน้อยที่ 15% ต่อปี ผ่านไปครึ่งปีแรก ผลปรากฏว่าทำได้เกินกว่าที่ตั้งใจ ไว้ตั้งแต่ครึ่งปีแรก

สิ่งที่ต้องคิดตามมาก็คือจะทำ ให้ยังไง ถึงจะรักษาผลตอบแทนที่หามาได้ ไม่ได้สูญเสียไป นับกว่าหาเงินว่ายากแล้ว การรักษาไม่ได้เสียเงินยิ่งยากกว่า ดังที่บัฟเฟตมักพูดเสมอว่า กฏข้อหนึ่ง อย่าขาดทุน กฏข้อที่สอง กลับไปดูข้อที่หนึ่ง

กลับมาที่หัวข้อของ note อันนี้ดีกว่า ครึ่งปีแรกผมก็พลาดไปหลายอย่างเหมือนกันอย่างแรกเลยคือ

ซื้อ AP มาแทนที่จะซื้อ SPALI .... กลับมานั่งคิดดูว่าทำไมถึงไม่ซื้อ SPALI ก็ได้คำตอบว่า เมื่อรู้ว่าผิดแล้วไม่ยอมแก้ไข นั่นเอง ย้อนไปตอนแรกที่ซื้อ ช่วงนั้นประมาณว่าซื้อก่อนทำการบ้านที่หลัง ก็ได้ผลว่าจริงๆ แล้ว SPALI ดีกว่าแทบทุกด้าน แต่ก็ยังคิดว่า AP ก็ PE ต่ำเหมือนกัน ยังไงๆ ก็น่าจะดีเหมือนๆ กัน มาถึงตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่า คิดผิด ยิ่งไปดู graph เทียบกับ SET ด้วยจะเห็นว่า AP underperform เกือบจะตลอดเลย

อย่างที่สองกะว่าจะขาย CCET หลังจากที่ถือมาได้ 3 เดือน ที่จะขายเพราะเห็นว่าหุ้นเริ่มแพงแล้ว เนื่องจากเสียลูกค้าไป แต่ยังไม่ทันจะขายราคาหุ้นก็วิ่งเสียก่อน อันนี้ก็คิดผิดอีก

สุดท้ายขาย SF ออกไปเพราะนึกว่าตลาดไม่ตอบสนองกับ Mega project IKEA ก็คิดผิดอีกจนได้

ต้องมาดูว่าครึ่งปีหลังจะมีอะไร ผิดอีกไหม

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เครดิตภาษีเงินปันผล สิ่งที่คนเล่นหุ้นมักมองข้าม


เนื่องจากต้นปีที่ผ่านมา ผมได้ขอคืนภาษี และสิ่งที่ผมนึกไม่ถึงคือ การเครดิตภาษีปันผลนั้นสุดยอดมากๆ หลายๆ คนที่ผมรู้จักมักจะมองข้ามไป เนื่องจากเห็นว่าเป็นเงินก้อนเล็กๆ เช่น ได้ปันผลมา 3,000 แล้วโดนหักภาษีไว้ 300 บาท ก็เลยไม่ได้สนใจในส่วน 300บาทนั้นมากนัก ส่วนมากที่ผมเห็นก็เอาแค่ 2,700 ก็พอ แต่เดี๋ยวก่อน หลังจากที่ผมได้ทำภาษีและเห็นว่า จาก 300 บาท พอขอคืนมา มันกลายร่างเป็น 1300 บาท ได้แบบไม่ต้องเหนื่อยอะไร เห็นไหมครับว่าเป็นผลประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้ามจริงๆ แต่การขอเครดิตภาษีปันผลนั้นจะต้องกรอก ภ.ง.ด 90 นะครับ การกรอกก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ฉนั้นเรามาดูตัวอย่างการคำนวณเครดิตภาษีเงินปันผลแบบง่ายๆ ดีกว่าครับ

ผมมีหุ้นบริษัท SF อยู่ทั้งหมด 25,000 หุ้น
ได้รับปันผลมา 0.12 บาทต่อหุ้น
ดังนั้นปันผลของ SF ที่ผมได้มาจะเป็น 25,000 x 0.12 = 3,000
ได้รับจริง 2,700 เนื่องจากโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 300 บาท

มาดูกันครับว่าจาก 300 จะกลายเป็น 1,300 ได้ยังไง

การคำนวณแบบง่ายๆ เลยคือ ดูว่าบริษัทที่จ่ายปันผลเรานั้นเสียภาษีนิติบุคคลกี่เปอร์เซ็น

เสียภาษี 20% ได้อัตราส่วนเป็น 20/80 -> 1/4
เสียภาษี 25% ได้อัตราส่วนเป็น 25/75 -> 1/3
เสียภาษี 30% ได้อัตราส่วนเป็น 30/70 -> 3/7

ในตัวอย่าง บริษัท SF เสียภาษีนิติบุคคล 25% ดังนั้น
เราจะเอา 1/3 มาคำนวณโดยเอาเงินปันผลคูณ 1/3
นั่นก็คือ 3,000 x 1/3 = 1,000 บาท แล้วบวกด้วย ภาษี ณ ที่จ่ายที่เราโดนหักไว้ ก็จะเป็น 1,000 + 300 = 1,300 บาท

สรุปก็คือผมจะได้เงินคืนกลับมาจากสรรพากร 1,300 บาทนั่นเอง เห็นแล้วใช่ไหมครับว่ามันแปลงร่างได้

ไม่รู้ผมอธิบายรวบรัดไปหรือเปล่านะครับ แต่ถ้ายังงงๆ เนื่องจากคนอธิบายห่วย ลองดูอธิบายเพิ่มต่อข้างล่างได้ครับ

บริษัท SF จะเสียภาษีในอัตรา 25% ซึ่ง 25% นี้เป็นการเสียภาษีของกำไรสุทธิ ซึ่งส่วนที่เหลือหลังจากเสียภาษีแล้วก็คือเงินปันผลเรานั่นเอง

จะเห็นว่าเงินปันผลที่บริษัท SF จ่ายให้เรา 3000 บาท นั้น โดนหักเงินส่วนนึงเป็นภาษีที่ส่งสรรพากร
ไปแล้ว 25% ซึ่งภาษีที่หักไปตรงนี้ จะคำนวนได้ดังนี้ (3000 x 25)/75 = 1000

ดังนั้น เงินปันผลก่อนหักภาษีของบริษัท SF จะเท่ากับ 4000 บาท ซึ่งก็คือเงินปันผลที่เราควรจะได้นั่นเอง ส่วนสาเหตุว่าทำไมถึงต้องมาคำนวณย้อนกลับไปแบบนี้ก็เพราะว่า การเสียภาษีที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นการเสียภาษีของบริษัท SF ไม่ใช่การเสียภาษีของเรา ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการเสียภาษีซ้ำซ้อนกันนั่นเองครับ

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทเรียนของความโลภ

ทำ blog อันแรกก็ต้องฟิตกันหน่อย ไหนๆ ก็จะเผาตัวเองแล้ว ก็อดที่จะเล่าเรื่องนี้ไม่ได้ ย้อนไปปี 2550 ขณะที่ผมกำลังขับรถอยู่ โดยปกติผมจะพูด(มาก)ไปเรื่อยเวลาขับรถ แต่คราวผมนี้ต้องเงียบแล้วแอบฟังครับ เนื่องจากได้ยินแฟนและเพื่อนของเค้าคุยกัน เสียงลอดออกมากจากมือถือ "วันนี้ได้มา 15 จุด หรือแก ชั้นก็ได้ 10 จุด" ผมถามแฟนอะไรเหรอ 10 จุด แฟนผมบอกเธอไม่รู้เรื่องหรอก ผมก็ตื้อด้วยความอยากรู้ บอกหน่อยซิ แฟนก็เลยบอก “Future” น่ะรู้จักไหมล่ะ ผมคิดในใจ อนาคต เหรอก็น่าจะใช่นะ แปลกันตรงๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ฟังแล้วก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี อะไรวะ future ผมก็ตื้อต่อ สุดท้ายแฟนรำคาญบอก ไม่มีอะไรมาก จุดละพัน จะเล่นต้องมี 50,000 ด้วยความที่ไม่มีตัง ก็เลยนั่งเงียบไปด้วยความสงสัย ในใจก็คิดว่า โห !!! จุดละพัน 10 จุดก็ 10,000 นึงแล้วนี่ ทำไมมันง่ายจัง อยากเล่นด้วย เค้าได้กันเราก็น่าจะได้ด้วยนะ คิดเองเออเอง

วันต่อมาไม่คิดอะไรมากเลยครับ จัดแจงเอาตังไปให้แฟน ขอเล่นด้วย แฟนบอกมันเสี่ยงนะ ได้ง่ายเสียง่าย เหมือนการพนันแหละ ผมก็อือๆ ไป ด้วยความที่อยากเล่น ความโลภครอบงำเต็มเปี่ยม แต่ัมันไม่ง่ายแบบนั้นครับ แฟนไม่ยอมให้หุ้นด้วย บอกว่า เธอไม่รู้เรื่องหรอก เล่นไปเสียตังเปล่าๆ น่ารักนะแฟนเรา มีแอบห่วงอีก แต่วิญญาณผีพนันเข้าสิงแล้ว มีรึจะถอย ผมก็คิดในใจ อะไรอ่ะ จะรวยคนเดียวอีก ตกลงวันนี้ก็ไม่ได้ทำไร โดนด่าไปเฉยๆ

อาทิตย์ต่อมาก็ได้ยินอีกแล้ว นี่แกที่ short ไปอ่ะ หุ้นลงกระจาย แดงเดือด ได้มาอื้อ(ถ้าเพื่อนๆ คนไหนเล่นหุ้นหรือติดตาม SET index ก็จะรู้ว่า หุ้นช่วงปี 50 เป็นอย่างไร คร่าวๆ ก็ลงแรงลงเร็ว จาก 800 กว่า มา 600 อย่างรวดเร็ว อยู่แถว 600 ได้ไม่นาน ก็รูดไป 300 – 400) นับเล่นๆ ก็หลายร้อยจุด .... จุดละพัน จุดละพัน คำนี้มันก้องในหูซะเหลือเกิน คนเราตื้อเท่านั้นที่ครองโลก ขอแฟนใหม่เ่ล่นด้วยคนซิ คราวนี้ได้ผล แฟนให้เล่นด้วย คงรำคาญ กะว่าปล่อยให้ผมเสีย เดี๋ยวก็คงสำนึกเอง

พอได้เข้ามาเล่น เห็นช่วงนี้ลงอย่างเดียว โอยแบบนี้หมูนี่ …ลงก็ short long ก็ขึ้น…. ง่ายจะตาย ผมก็จัดการเลย โทรบอกเพื่อนแฟนที่โบรก พี่ๆ short ครับ ผลงานชิ้นโบว์แดงครับ short ไปได้มา 4000 โอยสุดจะบรรยาย หมูจริงๆ วันต่อไปก็โทรไปอีก พี่ครับเหมือนเดิมครับ แต่ว่าวันนี้มันไม่เหมือนเดิมครับ SET มีการแกว่งตัวอยู่แถม 600 กว่า มีขึ้นเป็นระยะๆ ด้วยความที่เป็นมือใหม่ short ไป มีรึจะเหลือ โดนซิครับคราวนี้ โดนไป 6 จุด เริ่มมึนเล็กๆ ตกลงว่าจะเอายังไงกันแน่เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เริ่มมึงเหมือนนักมวยเมาหมัด แต่ก็ยังไม่ถอย แค่นี้จะมาหยุดเราได้ไง พอเริ่มเห็นขึ้นต่อเนื่อง งั้นก็ long แล้วกันคราวนี้ SET ลงมาเยอะแล้ว ก็ไม่น่าจะลงอีกแล้วแหละ ใครๆ เค้าก็บอกกัน หนังสือพิมพ์งี้ ตัวเบ้อเริ่ม “ไม่มีลงไปกว่านี้อีกแล้ว bottom แล้ว” ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ขึ้นแหงๆ หมูตู้ จำได้แม่นเลยครับ วันนั้นวันศุกร์ ผมก็เลย long ไว้ เปิดมาวันจันทร์ SET ตกอย่างแรงเปิดมา ร่วงไปเลย 20 จุด และก็ยังลงต่อไปอีก อ้าวไหนเค้าบอกกันว่าสุดแล้วไง ระหว่างที่เริ่มเห็นท่าไม่ดี มีข่าวอะไรมาก็ไม่รู้ “สงสัยจะรับไม่อยู่” อะไรเนี่ย !! -_- เดี๋ยวสุดเดี๋ยวไม่สุด โอยอย่างกับ...

คงไม่ต้องบอกนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น เจ๊งแบบไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องนับว่าเท่าไหร่ ผมก็เลยหยุดพักไปก่อนด้วยความมึน ถือว่าโชคดีที่หยุดไปก่อนไม่งั้นก็คงโดนอีกนับไม่ถ้วน เพราะหลังจากนั้นก็มี circuit breaker ตามมาอีกด้วย

เวลาผ่านไปยังไงก็ไม่ลืม ก็เลยมานั่งคิดว่าที่เรามาเล่นนี่ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เล่นแบบการพนันจริงๆ ถามผมว่าหุ้นคืออะไร ก็ต้องบอกว่า หุ้นก็คือหุ้น เริ่มมาคิดได้ว่าเราไม่ได้มีหลักการอะไรเลย มั่วไปหมด จะลงจะขึ้นก็ไม่รู้ แบบนี้คงต้องศึกษาอะไรบ้างซะแล้ว ก็จ่ายค่าลงทะเบียนไปแล้วนี่ แบบนี้ต้องเอาคืน(นั่นยังไม่ทิ้งนิสัยนักพนัน)

อันนี้นับว่าเป็นบทเรียนอันแรกของผมที่คงไม่ลืมง่ายๆ ไหนจะโดนแฟนด่า ไหนจะเสียตังอีก หุ้นธรรมดาๆ ยังเสียกันเป็นว่าเล่น แล้วนี่อะไรครับพี่น้อง future ที่คิดว่าอนาคตนั้น จะไปรู้เหรอ

เริ่มจากอะไรดี


อยากจะมี blog กับเค้าบ้าง ไว้เขี่ยๆ เขียนๆ เรื่องราวรอบตัวหรือเขียนเรื่องที่เราสนใจเก็บไว้
เนื่องจากผมเป็นพวกความจำสั้นแต่รักนั้นยาว ...เผื่อว่าวันข้างหน้าจะกลับมาอ่านอีกทีหรือมีประโยชน์กับคนอื่น บ้าง ครั้นจะเอาเรื่องมีสาระมากๆ คนเค้าก็คงไม่อยากอ่าน แต่ถ้าเป็นเรื่องนินทาหรือความผิดพลาดของใครซักคนแล้วล่ะ อืมก็ดูน่าสนใจขึ้นมาอีกนิด ผมลองสังเกตุดูคนรอบๆ ตัว ของผมทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นตามรถไฟฟ้า หรือที่ทำงาน ก็มักจะพูดถึงแต่เรื่องของคนอื่น หรืออย่างบางทีคุณไปทานข้าวกับเพื่อน 3 คน ผมรับรองได้ เรื่องที่คุยกันก็คงไม่เรื่องของคุณทั้ง 3 คนแน่นอน ฉนั้นถ้าเป็นเรื่องที่มีสาระแล้วล่ะก็ คนส่วนมากก็ขอผ่านอย่ามาพูดให้ได้ยิน รำคาญครับ แต่กลับกัน ถ้าเป็นเรื่องนินทาชาวบ้านแล้วล่ะก็ดูน่าฟังกว่าเยอะ ถ้าไม่เล่านี่มีเคือง ครั้นจะเอาเรื่องคนอื่นมาเล่า ก็เดี๋ยวจะโดนด่าได้ ดังนั้นเอาเรื่องตัวเองมาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน จะได้ไ่ม่มีใครมาด่าเราได้ 555