วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เครดิตภาษีเงินปันผล สิ่งที่คนเล่นหุ้นมักมองข้าม


เนื่องจากต้นปีที่ผ่านมา ผมได้ขอคืนภาษี และสิ่งที่ผมนึกไม่ถึงคือ การเครดิตภาษีปันผลนั้นสุดยอดมากๆ หลายๆ คนที่ผมรู้จักมักจะมองข้ามไป เนื่องจากเห็นว่าเป็นเงินก้อนเล็กๆ เช่น ได้ปันผลมา 3,000 แล้วโดนหักภาษีไว้ 300 บาท ก็เลยไม่ได้สนใจในส่วน 300บาทนั้นมากนัก ส่วนมากที่ผมเห็นก็เอาแค่ 2,700 ก็พอ แต่เดี๋ยวก่อน หลังจากที่ผมได้ทำภาษีและเห็นว่า จาก 300 บาท พอขอคืนมา มันกลายร่างเป็น 1300 บาท ได้แบบไม่ต้องเหนื่อยอะไร เห็นไหมครับว่าเป็นผลประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้ามจริงๆ แต่การขอเครดิตภาษีปันผลนั้นจะต้องกรอก ภ.ง.ด 90 นะครับ การกรอกก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ฉนั้นเรามาดูตัวอย่างการคำนวณเครดิตภาษีเงินปันผลแบบง่ายๆ ดีกว่าครับ

ผมมีหุ้นบริษัท SF อยู่ทั้งหมด 25,000 หุ้น
ได้รับปันผลมา 0.12 บาทต่อหุ้น
ดังนั้นปันผลของ SF ที่ผมได้มาจะเป็น 25,000 x 0.12 = 3,000
ได้รับจริง 2,700 เนื่องจากโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 300 บาท

มาดูกันครับว่าจาก 300 จะกลายเป็น 1,300 ได้ยังไง

การคำนวณแบบง่ายๆ เลยคือ ดูว่าบริษัทที่จ่ายปันผลเรานั้นเสียภาษีนิติบุคคลกี่เปอร์เซ็น

เสียภาษี 20% ได้อัตราส่วนเป็น 20/80 -> 1/4
เสียภาษี 25% ได้อัตราส่วนเป็น 25/75 -> 1/3
เสียภาษี 30% ได้อัตราส่วนเป็น 30/70 -> 3/7

ในตัวอย่าง บริษัท SF เสียภาษีนิติบุคคล 25% ดังนั้น
เราจะเอา 1/3 มาคำนวณโดยเอาเงินปันผลคูณ 1/3
นั่นก็คือ 3,000 x 1/3 = 1,000 บาท แล้วบวกด้วย ภาษี ณ ที่จ่ายที่เราโดนหักไว้ ก็จะเป็น 1,000 + 300 = 1,300 บาท

สรุปก็คือผมจะได้เงินคืนกลับมาจากสรรพากร 1,300 บาทนั่นเอง เห็นแล้วใช่ไหมครับว่ามันแปลงร่างได้

ไม่รู้ผมอธิบายรวบรัดไปหรือเปล่านะครับ แต่ถ้ายังงงๆ เนื่องจากคนอธิบายห่วย ลองดูอธิบายเพิ่มต่อข้างล่างได้ครับ

บริษัท SF จะเสียภาษีในอัตรา 25% ซึ่ง 25% นี้เป็นการเสียภาษีของกำไรสุทธิ ซึ่งส่วนที่เหลือหลังจากเสียภาษีแล้วก็คือเงินปันผลเรานั่นเอง

จะเห็นว่าเงินปันผลที่บริษัท SF จ่ายให้เรา 3000 บาท นั้น โดนหักเงินส่วนนึงเป็นภาษีที่ส่งสรรพากร
ไปแล้ว 25% ซึ่งภาษีที่หักไปตรงนี้ จะคำนวนได้ดังนี้ (3000 x 25)/75 = 1000

ดังนั้น เงินปันผลก่อนหักภาษีของบริษัท SF จะเท่ากับ 4000 บาท ซึ่งก็คือเงินปันผลที่เราควรจะได้นั่นเอง ส่วนสาเหตุว่าทำไมถึงต้องมาคำนวณย้อนกลับไปแบบนี้ก็เพราะว่า การเสียภาษีที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นการเสียภาษีของบริษัท SF ไม่ใช่การเสียภาษีของเรา ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการเสียภาษีซ้ำซ้อนกันนั่นเองครับ

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทเรียนของความโลภ

ทำ blog อันแรกก็ต้องฟิตกันหน่อย ไหนๆ ก็จะเผาตัวเองแล้ว ก็อดที่จะเล่าเรื่องนี้ไม่ได้ ย้อนไปปี 2550 ขณะที่ผมกำลังขับรถอยู่ โดยปกติผมจะพูด(มาก)ไปเรื่อยเวลาขับรถ แต่คราวผมนี้ต้องเงียบแล้วแอบฟังครับ เนื่องจากได้ยินแฟนและเพื่อนของเค้าคุยกัน เสียงลอดออกมากจากมือถือ "วันนี้ได้มา 15 จุด หรือแก ชั้นก็ได้ 10 จุด" ผมถามแฟนอะไรเหรอ 10 จุด แฟนผมบอกเธอไม่รู้เรื่องหรอก ผมก็ตื้อด้วยความอยากรู้ บอกหน่อยซิ แฟนก็เลยบอก “Future” น่ะรู้จักไหมล่ะ ผมคิดในใจ อนาคต เหรอก็น่าจะใช่นะ แปลกันตรงๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ฟังแล้วก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี อะไรวะ future ผมก็ตื้อต่อ สุดท้ายแฟนรำคาญบอก ไม่มีอะไรมาก จุดละพัน จะเล่นต้องมี 50,000 ด้วยความที่ไม่มีตัง ก็เลยนั่งเงียบไปด้วยความสงสัย ในใจก็คิดว่า โห !!! จุดละพัน 10 จุดก็ 10,000 นึงแล้วนี่ ทำไมมันง่ายจัง อยากเล่นด้วย เค้าได้กันเราก็น่าจะได้ด้วยนะ คิดเองเออเอง

วันต่อมาไม่คิดอะไรมากเลยครับ จัดแจงเอาตังไปให้แฟน ขอเล่นด้วย แฟนบอกมันเสี่ยงนะ ได้ง่ายเสียง่าย เหมือนการพนันแหละ ผมก็อือๆ ไป ด้วยความที่อยากเล่น ความโลภครอบงำเต็มเปี่ยม แต่ัมันไม่ง่ายแบบนั้นครับ แฟนไม่ยอมให้หุ้นด้วย บอกว่า เธอไม่รู้เรื่องหรอก เล่นไปเสียตังเปล่าๆ น่ารักนะแฟนเรา มีแอบห่วงอีก แต่วิญญาณผีพนันเข้าสิงแล้ว มีรึจะถอย ผมก็คิดในใจ อะไรอ่ะ จะรวยคนเดียวอีก ตกลงวันนี้ก็ไม่ได้ทำไร โดนด่าไปเฉยๆ

อาทิตย์ต่อมาก็ได้ยินอีกแล้ว นี่แกที่ short ไปอ่ะ หุ้นลงกระจาย แดงเดือด ได้มาอื้อ(ถ้าเพื่อนๆ คนไหนเล่นหุ้นหรือติดตาม SET index ก็จะรู้ว่า หุ้นช่วงปี 50 เป็นอย่างไร คร่าวๆ ก็ลงแรงลงเร็ว จาก 800 กว่า มา 600 อย่างรวดเร็ว อยู่แถว 600 ได้ไม่นาน ก็รูดไป 300 – 400) นับเล่นๆ ก็หลายร้อยจุด .... จุดละพัน จุดละพัน คำนี้มันก้องในหูซะเหลือเกิน คนเราตื้อเท่านั้นที่ครองโลก ขอแฟนใหม่เ่ล่นด้วยคนซิ คราวนี้ได้ผล แฟนให้เล่นด้วย คงรำคาญ กะว่าปล่อยให้ผมเสีย เดี๋ยวก็คงสำนึกเอง

พอได้เข้ามาเล่น เห็นช่วงนี้ลงอย่างเดียว โอยแบบนี้หมูนี่ …ลงก็ short long ก็ขึ้น…. ง่ายจะตาย ผมก็จัดการเลย โทรบอกเพื่อนแฟนที่โบรก พี่ๆ short ครับ ผลงานชิ้นโบว์แดงครับ short ไปได้มา 4000 โอยสุดจะบรรยาย หมูจริงๆ วันต่อไปก็โทรไปอีก พี่ครับเหมือนเดิมครับ แต่ว่าวันนี้มันไม่เหมือนเดิมครับ SET มีการแกว่งตัวอยู่แถม 600 กว่า มีขึ้นเป็นระยะๆ ด้วยความที่เป็นมือใหม่ short ไป มีรึจะเหลือ โดนซิครับคราวนี้ โดนไป 6 จุด เริ่มมึนเล็กๆ ตกลงว่าจะเอายังไงกันแน่เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เริ่มมึงเหมือนนักมวยเมาหมัด แต่ก็ยังไม่ถอย แค่นี้จะมาหยุดเราได้ไง พอเริ่มเห็นขึ้นต่อเนื่อง งั้นก็ long แล้วกันคราวนี้ SET ลงมาเยอะแล้ว ก็ไม่น่าจะลงอีกแล้วแหละ ใครๆ เค้าก็บอกกัน หนังสือพิมพ์งี้ ตัวเบ้อเริ่ม “ไม่มีลงไปกว่านี้อีกแล้ว bottom แล้ว” ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ขึ้นแหงๆ หมูตู้ จำได้แม่นเลยครับ วันนั้นวันศุกร์ ผมก็เลย long ไว้ เปิดมาวันจันทร์ SET ตกอย่างแรงเปิดมา ร่วงไปเลย 20 จุด และก็ยังลงต่อไปอีก อ้าวไหนเค้าบอกกันว่าสุดแล้วไง ระหว่างที่เริ่มเห็นท่าไม่ดี มีข่าวอะไรมาก็ไม่รู้ “สงสัยจะรับไม่อยู่” อะไรเนี่ย !! -_- เดี๋ยวสุดเดี๋ยวไม่สุด โอยอย่างกับ...

คงไม่ต้องบอกนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น เจ๊งแบบไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องนับว่าเท่าไหร่ ผมก็เลยหยุดพักไปก่อนด้วยความมึน ถือว่าโชคดีที่หยุดไปก่อนไม่งั้นก็คงโดนอีกนับไม่ถ้วน เพราะหลังจากนั้นก็มี circuit breaker ตามมาอีกด้วย

เวลาผ่านไปยังไงก็ไม่ลืม ก็เลยมานั่งคิดว่าที่เรามาเล่นนี่ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เล่นแบบการพนันจริงๆ ถามผมว่าหุ้นคืออะไร ก็ต้องบอกว่า หุ้นก็คือหุ้น เริ่มมาคิดได้ว่าเราไม่ได้มีหลักการอะไรเลย มั่วไปหมด จะลงจะขึ้นก็ไม่รู้ แบบนี้คงต้องศึกษาอะไรบ้างซะแล้ว ก็จ่ายค่าลงทะเบียนไปแล้วนี่ แบบนี้ต้องเอาคืน(นั่นยังไม่ทิ้งนิสัยนักพนัน)

อันนี้นับว่าเป็นบทเรียนอันแรกของผมที่คงไม่ลืมง่ายๆ ไหนจะโดนแฟนด่า ไหนจะเสียตังอีก หุ้นธรรมดาๆ ยังเสียกันเป็นว่าเล่น แล้วนี่อะไรครับพี่น้อง future ที่คิดว่าอนาคตนั้น จะไปรู้เหรอ

เริ่มจากอะไรดี


อยากจะมี blog กับเค้าบ้าง ไว้เขี่ยๆ เขียนๆ เรื่องราวรอบตัวหรือเขียนเรื่องที่เราสนใจเก็บไว้
เนื่องจากผมเป็นพวกความจำสั้นแต่รักนั้นยาว ...เผื่อว่าวันข้างหน้าจะกลับมาอ่านอีกทีหรือมีประโยชน์กับคนอื่น บ้าง ครั้นจะเอาเรื่องมีสาระมากๆ คนเค้าก็คงไม่อยากอ่าน แต่ถ้าเป็นเรื่องนินทาหรือความผิดพลาดของใครซักคนแล้วล่ะ อืมก็ดูน่าสนใจขึ้นมาอีกนิด ผมลองสังเกตุดูคนรอบๆ ตัว ของผมทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นตามรถไฟฟ้า หรือที่ทำงาน ก็มักจะพูดถึงแต่เรื่องของคนอื่น หรืออย่างบางทีคุณไปทานข้าวกับเพื่อน 3 คน ผมรับรองได้ เรื่องที่คุยกันก็คงไม่เรื่องของคุณทั้ง 3 คนแน่นอน ฉนั้นถ้าเป็นเรื่องที่มีสาระแล้วล่ะก็ คนส่วนมากก็ขอผ่านอย่ามาพูดให้ได้ยิน รำคาญครับ แต่กลับกัน ถ้าเป็นเรื่องนินทาชาวบ้านแล้วล่ะก็ดูน่าฟังกว่าเยอะ ถ้าไม่เล่านี่มีเคือง ครั้นจะเอาเรื่องคนอื่นมาเล่า ก็เดี๋ยวจะโดนด่าได้ ดังนั้นเอาเรื่องตัวเองมาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน จะได้ไ่ม่มีใครมาด่าเราได้ 555