วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เจ้าแห่งเงินตรา

ช่วงนี้ศึกษา fund flow อย่างหนัก พูดถึงการเรื่อง การเคลื่อนย้ายเงินและการเกร็งกำไรค่าเงินนั้น ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก จอร์จ โซรอส ว่าไปแล้วโซรอส ก็ทำผลงานได้น่าประทับใจ ด้วยการครองตำแหน่งนักเกร็งกำไรค่าเงิน ที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดจนมาถึงปัจจุบันและก็ยังหาคนมาล้มเค้าไม่ได้


การหาเงินของโซรอสนั้น ครั้งนึงเค้าถึงกับพูดว่า "เค้าหาเงินง่ายกว่า ใช้เงินเยอะ" การที่เค้าพูดแบบนั้น ก็เพราะว่า ส่วนมากแล้วโซรอส นั้นชอบที่จะตั้งมูลนิธิและแจกทุนการศึกษา เลยที่จะต้องมาคอยคิดว่าจะแจกทุนให้ใครดี

แต่วิธีการหาเงินของโซรอส นั้นก็ค่อนข้างจะมีด้านมืดอยู่มากทีเดียว ด้วยการเกร็งกำไรค่าเงินโดยทั่วไปแล้วก็ต้องสู้กับ รัฐบาลของประเทศใดไม่ก็ประเทศหนึ่ง ที่จะพยายามปกป้องค่าเงินของตัวเอง อย่างเช่นในปี 1992 ที่โซรอสได้กำไรจากการชนะการเกร็งกำไรค่าเงินปอนด์อย่างมหาศาล จนถึงขนาดมีคนเปรียบไว้ว่า บุคคลผู้ซึ่งได้กำไรจากการเกร็งกำไรจากคนอังกฤษไปคนละ 12.5 ปอนด์



..และก็อีกหลายๆ ครั้งที่โซรอสได้กำไรจากการเกร็งกำไรค่าเงินรวมถึงค่าเงินไทยด้วย

มีข้อสังเกตุอย่างนึงคือ นักลงทุนไม่ว่าจะแนวไหน มักจะทำกำไรจากการลงทุนในแบบน้อยครั้ง แต่ครั้งละมากๆ จะว่าไปที่ผ่านมานั้น ผมก็มักออกไปแนวซื้อบ่อยๆ ได้น้อยๆ ซะด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรที่จะหวุดหวิดจากการขาดทุน

สุดท้ายวิธีการที่โซรอสใช้นั้น ผมว่าคนธรรมอย่างเราๆ คงไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการหรือกำลังเงิน และน้อยคนนักที่จะได้กำไรจากการเกร็งกำไรค่าเงิน ซึ่งก็ต้องเป็นอัจฉริยะในระดับไม่ธรรมดา

ก็ผมคนนึงแหละ(ไม่ใช่อัจฉริยะนะครับ) ที่ไม่สามารถที่จะเลียนแบบได้และก็ไม่ค่อยอยากเลียนแบบด้วย อย่างคนธรรมดา ปัญญาต่ำแบบผมก็คงต้องเน้นอะไรที่ เรียบง่าย ใช้ศิลปะมากกว่าวิทยาศาสตร์หน่อย ที่พอจะทำให้การลงทุนสัมฤทธิ์ผลได้บ้าง แต่ของแบบนี้ต้องดูกันยาวๆ ครับ แบบว่าเน้นแต่ความความอึดและพลังของการทบต้น อย่างว่าแหละครับ "เวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเราในการลงทุน"

ตบท้ายด้วยค่าเงิน USD/THB 5 days และ 1 month

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จับตา Fund flow จากการเคลื่ยนไหวของค่าเงินบาท

หลังจากเฝ้าสังเกตุ SET มาหลายวัน ด้วยความหวาดผวาที่ก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มระแวงว่าวันไหน SET จะอ่อนตัวลงไป พอเกิดความกลัว คนเราก็ต้องหาที่ยึดเหนี่ยวไว้ซักอย่างสองอย่าง

สำหรับหุ้นไทยคง ปฏิเสธไม่ได้ว่า แรงขับเคลื่อนนั้นมาจากนักลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะต่างชาติหัวทอง หัวแดง หัวดำ หรือจะหัวอะไรก็ช่าง ก็นำเราไปสู่วัฏจักรขึ้นสุดลงสุดได้




รูปที่ผมจะนำเสนอก็ต้องออกตัว ไว้ก่อนว่า แค่เป็นการสังเกตุการณ์เท่านั้น ท่านต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนที่เก็บมันไปให้รกสมองของท่าน

บางท่านอาจจะดูรูปแล้วงง ต้องอธิบายนิดนึงว่า กราฟบนนั้นเป็นค่าเงินดอลล่าเทีบบเงินบาท ส่วนกราฟข้างล่างนั้นเป็นกราฟ SET เพื่อให้ง่ายขึ้นผมได้กลับหัวกลับหางกราฟค่าเงิน ไว้ข้างล่างอีกรูปนึงครับ








วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

บันทึก การลงทุนที่ผิดพลาดของครึ่งปีแรก 2553

6 เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก ตั้งแต่ได้มาพบรักกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ก็ทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้
นเยอะ ไม่ต้องการคอยนั่งเฝ้าหน้าจอ ไม่ต้องคอยตื่นเต้นเวลาเห็นราคา
หุ้นแกว่งไปแกว่งมา แล้วที่สำคัญเวลาวางแผนอะไ
รไว้แล้วมันทำได้ตามแผนนี่มันสะใจจริงๆ

หลังจากได้นำแนวความคิดเรื่องการ ลงทุนแบบเน้นคุณค่าของหลาย สำนักมาลองใช้ แล้วพยายามปรับให้เข้ากับตัวเอง ก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะถนัดแบบไหน แต่ก็ตั้งใจว่าอย่างน้อยก็น่าจะได้ผลตอบแทนแบบคนมักน้อยที่ 15% ต่อปี ผ่านไปครึ่งปีแรก ผลปรากฏว่าทำได้เกินกว่าที่ตั้งใจ ไว้ตั้งแต่ครึ่งปีแรก

สิ่งที่ต้องคิดตามมาก็คือจะทำ ให้ยังไง ถึงจะรักษาผลตอบแทนที่หามาได้ ไม่ได้สูญเสียไป นับกว่าหาเงินว่ายากแล้ว การรักษาไม่ได้เสียเงินยิ่งยากกว่า ดังที่บัฟเฟตมักพูดเสมอว่า กฏข้อหนึ่ง อย่าขาดทุน กฏข้อที่สอง กลับไปดูข้อที่หนึ่ง

กลับมาที่หัวข้อของ note อันนี้ดีกว่า ครึ่งปีแรกผมก็พลาดไปหลายอย่างเหมือนกันอย่างแรกเลยคือ

ซื้อ AP มาแทนที่จะซื้อ SPALI .... กลับมานั่งคิดดูว่าทำไมถึงไม่ซื้อ SPALI ก็ได้คำตอบว่า เมื่อรู้ว่าผิดแล้วไม่ยอมแก้ไข นั่นเอง ย้อนไปตอนแรกที่ซื้อ ช่วงนั้นประมาณว่าซื้อก่อนทำการบ้านที่หลัง ก็ได้ผลว่าจริงๆ แล้ว SPALI ดีกว่าแทบทุกด้าน แต่ก็ยังคิดว่า AP ก็ PE ต่ำเหมือนกัน ยังไงๆ ก็น่าจะดีเหมือนๆ กัน มาถึงตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่า คิดผิด ยิ่งไปดู graph เทียบกับ SET ด้วยจะเห็นว่า AP underperform เกือบจะตลอดเลย

อย่างที่สองกะว่าจะขาย CCET หลังจากที่ถือมาได้ 3 เดือน ที่จะขายเพราะเห็นว่าหุ้นเริ่มแพงแล้ว เนื่องจากเสียลูกค้าไป แต่ยังไม่ทันจะขายราคาหุ้นก็วิ่งเสียก่อน อันนี้ก็คิดผิดอีก

สุดท้ายขาย SF ออกไปเพราะนึกว่าตลาดไม่ตอบสนองกับ Mega project IKEA ก็คิดผิดอีกจนได้

ต้องมาดูว่าครึ่งปีหลังจะมีอะไร ผิดอีกไหม